เมล็ด (Seed)
เมล็ด(Seed)
คือ ส่วนประกอบของพืชที่เจริญมาจากออวุล (ovule) ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว เมล็ดสามารถใช้ในการแพร่พันธุ์ของพืชดอก (angiosperm) และพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm)
ชนิดของเมล็ด
สามารถจำแนกโดยใช้จำนวนใบเลี้ยงของเอมบริโอภายในเมล็ดเป็นเกณฑ์ได้ 2 ชนิด ดังนี้
1.เมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่
เป็นเมล็ดพืชที่เอ็มบริโอที่อยู่ภายในเมล็ด มีจำนวนใบเลี้ยง 2 ใบ แบ่งเป็น 2 ชนิด โดยใช้เอนโดสเปิร์มเป็นเกณฑ์ คือ
1.1 เมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่ที่ไม่มีเอ็นโดสเปิร์ม (exalbuminous seed) เป็นเมล็ดที่เปลือกเมล็ดทั้งสองชั้นรวมกันไม่สามารถแยกเป็นสองชั้นได้ ด้านหนึ่งของเปลือกเมล็ดเว้าเข้า มีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ติดอยู่ รอยนี้เป็นบริเวณที่เกิดจากก้านของออวุล (funiculus) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างรังไข่กับออวุลที่หลุดออกไป เรียกรอยนี้ว่า ขั้วเมล็ด (hilum) ใกล้ ๆ กับขั้วเมล็ดมีรูเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ไมโครไพล์ (micropyle) ซึ่งรูไมโครไพล์นี้เป็นทางให้น้ำผ่านเข้าไปภายในเมล็ด และเป็นช่องให้รากแรกเกิด (radicle) งอกออกมาจากเมล็ดและเจริญเป็นรากของพืชต่อไป ด้านตรงข้ามกับด้านนี้มีขั้วเมล็ด (hilum) อยู่จะมีลักษณะเป็นสันซึ่งเกิดจากก้านออวุล (funiculus) ทาบไปตามออวุล ก่อนที่ออวุลจะเจริญเป็นเมล็ด เรียกสันนี้ว่าสันขั้ว (raphe) เมื่อลอกเปลือกเมล็ดออกจะพบใบเลี้ยงขนาดใหญ่สองใบประกบยอดแรกเกิด (pumule) ไว้ ใต้ตำแหน่งใบเลี้ยงพบต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypotyl) และรากแรกเกิด (radiele) แต่ไม่พบเอ็นโดสเปิร์ม (endosperm)
เมล็ดพืชชนิดนี้ได้แก่ เมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ มะม่วง ทานตะวัน เป็นต้น
1.2 เมล็ดของพืชใบเลี้ยงคู่ที่มีเอ็นโดสเปิร์ม (albuminous seed) เป็นเมล็ดที่เปลือกเมล็ด แยกเป็นเปลือกเมล็ดชั้นนอก (testa) และเปลือกเมล็ดชั้นใน (tegment) ได้ชัดเจน ด้านหนึ่งของเมล็ดมีสันเมล็ด (raphe) ตลอดแนว ที่ปลายสันเมล็ด (raphe) ด้านล่างของเมล็ดมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่ออวบและแข็ง เรียก (caruncle) ปิดอยู่ มีหน้าที่อุ้มน้ำเพื่อช่วยให้เมล็ดงอกได้ ด้านนี้จะพบขั้วเมล็ด (hilum) และรูไมโครไพล์ (micropyle) เมื่อลอกเปลือกทั้งสองชั้นออกจะพบเอนโดสเปิร์ม มีลักษณะหนาใหญ่ สีขาว มีสองซีกประกบกันอยู่ภายในมีใบเลี้ยงอยู่ 2 ใบ มีลักษณะแบนและบางมาก เอมบริโอส่วนที่เหลือจะมีลักษณะเป็นก้อนรูปไข่ โดยเหนือตำแหน่งใบเลี้ยงเป็นส่วนของยอดแรกเกิด (plumule) และต้นเหนือใบเลี้ยง (epicotyl) อยู่ส่วนตำแหน่งที่อยู่ใต้ใบเลี้ยง คือ ต้นใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) และ รากแรกเกิด (radicle)
ตัวอย่างเมล็ดชนิดนี้ ได้แก่ เมล็ดละหุ่ง มะค่าแต้ เป็นต้น
2. เมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
เมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่ เปลือกเมล็ดจะติดอยู่แน่นกับเปลือกของผล ได้แก่ เมล็ดข้าวโพด ข้าวชนิดต่าง ๆ เป็นต้น แต่บางชนิดเปลือกเมล็ดแยกจากเปลือกของผล ได้แก่ มะพร้าว ตาล
การงอกของเมล็ด (seedgermination)
การงอกของเมล็ด หมายถึง การเจริญเติบโตของเอมบริโอ ซึ่งอยู่ภายในเมล็ดงอกออกจากเมล็ดเป็นต้นใหม่ โดยส่วนประกอบของเมล็ดที่โผล่พ้นเมล็ดเป็นอันดับแรก คือ รากแรกเกิด (radicle) ซึ่งการงอกของเมล็ดนี้มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและรูปร่างภายในเมล็ดดังนี้
1.การดูดน้ำของเมล็ด (imbibition) เมื่อเมล็ดที่แก่เต็มที่ได้รับความชื้นจากภายนอกเมล็ดจำนวนมากพอ เมล็ดจะดูดน้ำโดยการดูดอุ้ม (imbibition) มีผลทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนตัวลง เมล็ดพองขยายขนาดและน้ำหนักเพิ่มขึ้น มีผลให้เปลือกเมล็ดแตกออกทำให้น้ำและแก๊สออกซิเจนเข้าไปในเมล็ดได้
2.การเกิดเมแทบอลิซึม เมื่อเมล็ดรับน้ำเข้าไปจะกระตุ้นให้มีการสร้างเอนไซม์ ภายในเมล็ดพืชจะเกิดการย่อยสลายสารอาหารที่มีอยู่เอนโดสเปิร์มหรือใบเลี้ยง ซึ่งเป็นสารอาหารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ให้เป็นสารอาหารที่มีอณูเล็กลงและละลายน้ำได้
3.การลำเลียงอาหาร อาหารจากเอนโดสเปิร์มหรือใบเลี้ยงที่ถูกย่อยจนเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ แล้วจะถูกลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของเอมบริโอโดยการแพร่
4.การเจริญเติบโตของเอมบริโอ เมื่อส่วนต่าง ๆ ของเอมบริโอได้รับสารอาหาร น้ำและแก๊สออกซิเจนอย่างเพียงพอ จะเกิดการหายใจทำให้เกิดพลังงานนำไปใช้ในการแบ่งเซลล์ เพิ่มจำนวนเซลล์ เพิ่มขนาดของเอมบริโอ จนกระทั่งรากอ่อนแทงทะลุเปลือกหุ้มเมล็ดออกมาพ้น อันดับแรกและส่วนปลายยอดก็จะแทงเปลือกหุ้มเมล็ดออกมาเป็นอันดับต่อไป
ชนิดของการงอกของเมล็ด
จำแนกโดยใช้ตำแหน่งที่อยู่ของใบเลี้ยงเดี่ยวขณะงอกเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด คือ
ภาพแสดงการงอกใบเลี้ยงอยู่เหนือดิน
1.การงอกที่ใบเลี้ยงอยู่เหนือต้น (epigeal germination) เป็นการงอกที่ต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) มีการยืดตัวเร็วมากถึงเอาใบเลี้ยง (cotyledon) และต้นส่วนเหนือใบเลี้ยง (epicotyl) ออกจากเปลือกโผล่พ้นเหนือต้น และเมื่อต้นส่วนใต้ใบเลี้ยงตั้งตรงมีผลให้ยอดแรกเกิด (plumule) และต้นอ่อนเหนือใบเลี้ยง (epidermis) ยืดตัว ใบเลี้ยงกางออก เมื่ออาหารในใบเลี้ยงถูกใช้ไปหมดใบเลี้ยงจะหลุดล่วงไปในที่สุด
พืชที่มีการงอกแบบนี้ได้แก่ พืชใบเลี้ยงคู่ เช่น ละหุ่ง มะขาม ทานตะวัน ถั่วเขียว ถั่วดำ เป็นต้น
การเจริญเติบโตของถั่วเขียว
ภาพการงอกที่ใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน
2.การงอกที่ใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน (hypogeal germination) เป็นการงอกที่ต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) เจริญเติบโตและมีการยืดตัวช้า ๆ จึงมีผลให้ยอดแรกเกิด (plumule) งอกขึ้นบนดินได้ แต่ต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) และใบเลี้ยง (cotyledon) ยังอยู่ใต้ดิน
พืชที่งอกแบบนี้มักเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าว ข้าวโพด มะพร้าว หญ้า เป็นต้น พืชใบเลี้ยงคู่บางชนิด ได้แก่ พืชพวกถั่วเมล็ดกลม เช่น ถั่วลันเตา และพืชพวกส้ม
การเจริญเติบโตของข้าวโพด
คือ ส่วนประกอบของพืชที่เจริญมาจากออวุล (ovule) ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว เมล็ดสามารถใช้ในการแพร่พันธุ์ของพืชดอก (angiosperm) และพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm)
ชนิดของเมล็ด
สามารถจำแนกโดยใช้จำนวนใบเลี้ยงของเอมบริโอภายในเมล็ดเป็นเกณฑ์ได้ 2 ชนิด ดังนี้
1.เมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่
เป็นเมล็ดพืชที่เอ็มบริโอที่อยู่ภายในเมล็ด มีจำนวนใบเลี้ยง 2 ใบ แบ่งเป็น 2 ชนิด โดยใช้เอนโดสเปิร์มเป็นเกณฑ์ คือ
1.1 เมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่ที่ไม่มีเอ็นโดสเปิร์ม (exalbuminous seed) เป็นเมล็ดที่เปลือกเมล็ดทั้งสองชั้นรวมกันไม่สามารถแยกเป็นสองชั้นได้ ด้านหนึ่งของเปลือกเมล็ดเว้าเข้า มีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ติดอยู่ รอยนี้เป็นบริเวณที่เกิดจากก้านของออวุล (funiculus) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างรังไข่กับออวุลที่หลุดออกไป เรียกรอยนี้ว่า ขั้วเมล็ด (hilum) ใกล้ ๆ กับขั้วเมล็ดมีรูเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ไมโครไพล์ (micropyle) ซึ่งรูไมโครไพล์นี้เป็นทางให้น้ำผ่านเข้าไปภายในเมล็ด และเป็นช่องให้รากแรกเกิด (radicle) งอกออกมาจากเมล็ดและเจริญเป็นรากของพืชต่อไป ด้านตรงข้ามกับด้านนี้มีขั้วเมล็ด (hilum) อยู่จะมีลักษณะเป็นสันซึ่งเกิดจากก้านออวุล (funiculus) ทาบไปตามออวุล ก่อนที่ออวุลจะเจริญเป็นเมล็ด เรียกสันนี้ว่าสันขั้ว (raphe) เมื่อลอกเปลือกเมล็ดออกจะพบใบเลี้ยงขนาดใหญ่สองใบประกบยอดแรกเกิด (pumule) ไว้ ใต้ตำแหน่งใบเลี้ยงพบต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypotyl) และรากแรกเกิด (radiele) แต่ไม่พบเอ็นโดสเปิร์ม (endosperm)
เมล็ดพืชชนิดนี้ได้แก่ เมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ มะม่วง ทานตะวัน เป็นต้น
1.2 เมล็ดของพืชใบเลี้ยงคู่ที่มีเอ็นโดสเปิร์ม (albuminous seed) เป็นเมล็ดที่เปลือกเมล็ด แยกเป็นเปลือกเมล็ดชั้นนอก (testa) และเปลือกเมล็ดชั้นใน (tegment) ได้ชัดเจน ด้านหนึ่งของเมล็ดมีสันเมล็ด (raphe) ตลอดแนว ที่ปลายสันเมล็ด (raphe) ด้านล่างของเมล็ดมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่ออวบและแข็ง เรียก (caruncle) ปิดอยู่ มีหน้าที่อุ้มน้ำเพื่อช่วยให้เมล็ดงอกได้ ด้านนี้จะพบขั้วเมล็ด (hilum) และรูไมโครไพล์ (micropyle) เมื่อลอกเปลือกทั้งสองชั้นออกจะพบเอนโดสเปิร์ม มีลักษณะหนาใหญ่ สีขาว มีสองซีกประกบกันอยู่ภายในมีใบเลี้ยงอยู่ 2 ใบ มีลักษณะแบนและบางมาก เอมบริโอส่วนที่เหลือจะมีลักษณะเป็นก้อนรูปไข่ โดยเหนือตำแหน่งใบเลี้ยงเป็นส่วนของยอดแรกเกิด (plumule) และต้นเหนือใบเลี้ยง (epicotyl) อยู่ส่วนตำแหน่งที่อยู่ใต้ใบเลี้ยง คือ ต้นใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) และ รากแรกเกิด (radicle)
ตัวอย่างเมล็ดชนิดนี้ ได้แก่ เมล็ดละหุ่ง มะค่าแต้ เป็นต้น
2. เมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
เมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่ เปลือกเมล็ดจะติดอยู่แน่นกับเปลือกของผล ได้แก่ เมล็ดข้าวโพด ข้าวชนิดต่าง ๆ เป็นต้น แต่บางชนิดเปลือกเมล็ดแยกจากเปลือกของผล ได้แก่ มะพร้าว ตาล
การงอกของเมล็ด (seedgermination)
การงอกของเมล็ด หมายถึง การเจริญเติบโตของเอมบริโอ ซึ่งอยู่ภายในเมล็ดงอกออกจากเมล็ดเป็นต้นใหม่ โดยส่วนประกอบของเมล็ดที่โผล่พ้นเมล็ดเป็นอันดับแรก คือ รากแรกเกิด (radicle) ซึ่งการงอกของเมล็ดนี้มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและรูปร่างภายในเมล็ดดังนี้
1.การดูดน้ำของเมล็ด (imbibition) เมื่อเมล็ดที่แก่เต็มที่ได้รับความชื้นจากภายนอกเมล็ดจำนวนมากพอ เมล็ดจะดูดน้ำโดยการดูดอุ้ม (imbibition) มีผลทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนตัวลง เมล็ดพองขยายขนาดและน้ำหนักเพิ่มขึ้น มีผลให้เปลือกเมล็ดแตกออกทำให้น้ำและแก๊สออกซิเจนเข้าไปในเมล็ดได้
2.การเกิดเมแทบอลิซึม เมื่อเมล็ดรับน้ำเข้าไปจะกระตุ้นให้มีการสร้างเอนไซม์ ภายในเมล็ดพืชจะเกิดการย่อยสลายสารอาหารที่มีอยู่เอนโดสเปิร์มหรือใบเลี้ยง ซึ่งเป็นสารอาหารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ให้เป็นสารอาหารที่มีอณูเล็กลงและละลายน้ำได้
3.การลำเลียงอาหาร อาหารจากเอนโดสเปิร์มหรือใบเลี้ยงที่ถูกย่อยจนเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ แล้วจะถูกลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของเอมบริโอโดยการแพร่
4.การเจริญเติบโตของเอมบริโอ เมื่อส่วนต่าง ๆ ของเอมบริโอได้รับสารอาหาร น้ำและแก๊สออกซิเจนอย่างเพียงพอ จะเกิดการหายใจทำให้เกิดพลังงานนำไปใช้ในการแบ่งเซลล์ เพิ่มจำนวนเซลล์ เพิ่มขนาดของเอมบริโอ จนกระทั่งรากอ่อนแทงทะลุเปลือกหุ้มเมล็ดออกมาพ้น อันดับแรกและส่วนปลายยอดก็จะแทงเปลือกหุ้มเมล็ดออกมาเป็นอันดับต่อไป
ชนิดของการงอกของเมล็ด
จำแนกโดยใช้ตำแหน่งที่อยู่ของใบเลี้ยงเดี่ยวขณะงอกเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด คือ
ภาพแสดงการงอกใบเลี้ยงอยู่เหนือดิน
1.การงอกที่ใบเลี้ยงอยู่เหนือต้น (epigeal germination) เป็นการงอกที่ต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) มีการยืดตัวเร็วมากถึงเอาใบเลี้ยง (cotyledon) และต้นส่วนเหนือใบเลี้ยง (epicotyl) ออกจากเปลือกโผล่พ้นเหนือต้น และเมื่อต้นส่วนใต้ใบเลี้ยงตั้งตรงมีผลให้ยอดแรกเกิด (plumule) และต้นอ่อนเหนือใบเลี้ยง (epidermis) ยืดตัว ใบเลี้ยงกางออก เมื่ออาหารในใบเลี้ยงถูกใช้ไปหมดใบเลี้ยงจะหลุดล่วงไปในที่สุด
พืชที่มีการงอกแบบนี้ได้แก่ พืชใบเลี้ยงคู่ เช่น ละหุ่ง มะขาม ทานตะวัน ถั่วเขียว ถั่วดำ เป็นต้น
การเจริญเติบโตของถั่วเขียว
ภาพการงอกที่ใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน
2.การงอกที่ใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน (hypogeal germination) เป็นการงอกที่ต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) เจริญเติบโตและมีการยืดตัวช้า ๆ จึงมีผลให้ยอดแรกเกิด (plumule) งอกขึ้นบนดินได้ แต่ต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง (hypocotyl) และใบเลี้ยง (cotyledon) ยังอยู่ใต้ดิน
พืชที่งอกแบบนี้มักเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าว ข้าวโพด มะพร้าว หญ้า เป็นต้น พืชใบเลี้ยงคู่บางชนิด ได้แก่ พืชพวกถั่วเมล็ดกลม เช่น ถั่วลันเตา และพืชพวกส้ม
การเจริญเติบโตของข้าวโพด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น